สถานการณ์การส่งออกของไทยของไทยในช่วงปลายปี 2565 กำลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่มีอัตราการขายตัวสูง โดยเป็นช่วงที่ต้องจับตาตลาดส่งออกสำคัญทั้งสหรัฐ ยุโรปและจีน ที่มีสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวที่ชัดเจนขึ้น
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกของในช่วงที่เหลือของปี 2565 ยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรุนเร้าทั้งภายในและภายนอกหลายปัจจัยซึ่ง สรท.สรุปได้ 4 ปัจจัยดังนี้
อัตราเงินเเฟ้อโลกที่ยีงพุ่งสูงต่อเนื่อง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เงินเฟ้อปี 2565 ประเทศพัฒนาแล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 6.6% และประเทศเกิดขึ้นหรือประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ 9.5% ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างโดยเฉพาะยิ่งสถานการณ์ที่ค่าครองชีพปรับสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคในระดับกลางและระดับล่างทั่วโลกมีสัญญาณชะลอตัว
ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง จากสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังคงยืดเยื้อ ปริมาณน้ำคงคลังของ สหรัฐ ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ประกอบการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้า (FT) ภายในประเทศ โดยได้ส่งผลต่อเนื่องถึงต้นทุนภาคการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและต้นทุนในการดำรงชีวิตภาคครัวเรือนให้ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก
สถานการณ์ค่าระวางขนส่งสินค้าทางทะเลยังทรงตัวในระดับสูง และเรื่มมีการปรับลดลงในหลายเส้นทางแม้จะลดลง 20% แต่เมื่อเทียบกับตอนก่อนนี้ที่พุ่งขึ้น 400% ดังนั้นค่าระวางจึงยังถือว่าอยู่ในระดับสูงอยู่ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาาน้ำมันยังคงมีความผันผวนเปลี่ยนแปลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่สถานการณ์ตู้เปล่าเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น
ปัญหาต้นทุนวัตถุดิบขาดแคลนราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ เหล็ก ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน แป้งสาลี อาหารสัตว์ ปุ๋ย เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์ถึงประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ทั้งสหรัฐ ยุโรปและจีน เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงและมีสถานการณ์ดังนี้
สหรัฐ อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงต่อเนื่องส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวด ก่อให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดสถานการณ์ Economic Recession มากขึ้นขณะที่ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของสหรัฐ ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดที่ -0.6% ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังคงดำเนินการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและ QT ตามแผนต่อไป จนกว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐจะกลับมาบวกอีกครั้ง
สหภาพยุโรป (EU) ยังคงมีปัญหาราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากมาตรการคว่ำบาตรของรัสเซีย และต้องเร่งหาแหล่งพลังงานใหม่เพื่อทดแทนก่อนเข้าสู่ฤดูหนาวเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอียูเริ่มชะลอตัว โดยเห็นสัญญาณการหดตัวบางกลุ่มสินค้า
จีน เจอปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงทำให้หลายมณฑลต้องสั่งโรงงานหยุดการผลิตส่งผลกระทบต่อสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางของไทย ปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์หดตัวอย่างรุนแรงส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจของจีนยิ่งหดตัวรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประกอบกับสถานการณ์รัสเซียและยูเครนยังยงยืดเยื้อส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก ทั้งด้านพลังงานและด้านวัตถุดิบทางการเกษตร
รวมทั้งข้อพิพาทระหว่างจีนและไต้หวัน ที่ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าชิปเพื่อผลิตรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดของไทย ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกของไทยไม่ขยายตัวได้เท่าที่คาดการณ์ไว้
ขณะนี้ส่งออกเรามี 6% อยู่ในกระเป๋าแน่นอนแล้วหาก 5 เดือน ที่เหลือส่งออกไทยไม่โตทั้งปีก็จะขยายตัว 6% แต่หาก 5 เดือนที่เหลือส่งออกขยายตัวได้ 5% การส่งออกของไทยปี 65 ก็จะโตได้ 8% ดังนั้น สรท. คงคาดการณ์การส่งออกปี 2565 ที่ 6-8% หรือมีมูลค่า 293,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในกรอบสูงสุดที่ 8% นั้น เพราะไทยยังมีสินค้าส่งออกที่สำคัญ คือ สินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอาหารที่เป็นธงสำคัญของการส่งออกของไทยจากสถานการณ์วิกฤติอาหารโลกและไทยยังได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า
ส่วนความเสี่ยงเรื่องค่าระวางเรือและตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนยังสามารถบริหารจัดการได้ แต่ก็ต้องจับตาเรื่องการขาดแคลนชิป ซึ่งจะเป็นตัวพลิกผันการส่งออกของไทยในระยะต่อไป
ขณะที่การส่งออกไทยช่วง 7 เดือน แรกปี 2565 (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่า 172,814 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 1.5% เมื่อหักทองคำ น้ำมันและอาวุธยุทธปัจจัย